นโยบายด้านความสัมพันธ์รหว่างประเทศ
นโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทางด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลชุดปัจจุบันได้กำหนดนโยบาย ดังนี้
1.ดำเนินนโยบายการต่างประเทศเชิงรุก
2.มุ่งส่งเสริมการขยายสัมพันธไมตรีและความร่วมมือกับนานาประเทศในด้านต่างๆ
การเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ
1.องค์การสหประชาชาติ ( The United Nattions : UN )
บทบาทของสหประชาชาติในประเทศไทย
ไทยเป็นประเทศผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของสหประชาชาติ ประเทศไทยได้ส่งบุคลากรไปร่วมกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และรับรองมติด้านสิทธิมนุษยชน อนุสัญญาและสนธิสัญญาเกี่ยวกับแรงงานและสิ่งแวดล้อม องค์กรสหประชาชาติระดับภูมิภาคเป็นจำนวนมากจัดตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ รวมทั้งคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชา ชาติ (UN Economic and Social Commission for Asia and the Pacific - UNESCAP)
การทำงาน
กรุงเทพฯ ได้รับขนานนามว่าเป็น "เจนีวาแห่งเอเชีย"และไทยกลายเป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาคสำหรับระบบสหประชาชาติในภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ดังนั้น ระบบสหประชาชาติในไทย ซึ่งมีขนาดใหญ่โตและซับซ้อนเป็นพิเศษ จึงประกอบด้วยหน่วยงานของสหประชาชาติที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน 28 หน่วยงาน
2.สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน ( Association of South - East Asian Nation : ASEAN )
วัตถุประสงค์
1.เร่งรัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคมและการพัฒนาวัฒนธรรมในภูมิภาค
2.ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยเคารพหลักความยุติธรรมและหลักนิติธรรม
ด้านเศรษฐกิจ
1.เพื่อเป็นกลไกขยายการค้าระหว่างประเทศสมาชิกและดึงดูดการลงทุนจากภายนอก
2.พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน
3.ช่วยให้เกิดการใช้ทรพยาการอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
1.ให้ความร่วมมือทางด้านการศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
2.การจัดการภัยพิบัติ
3.ตรวจคนเข้าเมืองและขจัดปัญหายาเสพติด
3.เขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตา ( Asean Free Trade Area : AFTA )
วัตถุประสงค์ในการก่อตั้ง
1. เพื่อให้การขายสินค้าภายในอาเซียนเป็นไปโดยเสรีมีอัตราภาษีต่ำและปราศจากข้อจำกัดทางการค้า
2. เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้มาลงทุนในอาเซียน
3. เพื่อจะได้มีอำนาจต่อรอง และเป็นเวทีแสดงความคิดเห็น หากได้รับความกดดัน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขตการค้าเสรีอาเซียน
ไทยมีความสัมพันธ์กับอาฟตาโดยตรงในฐานะที่เป็นภาคีสมาชิกประเทศหนึ่งที่มี มูลค่าการค้าสูงและส่วนใหญ่ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียน เช่น พ.ศ.2540 ไทยมีมูลค่าการค้ากับอาเซียนรวม 626,251 ล้านบาท เป็นมูลค่าสินค้าออก 380,790 ล้านบาท มูลค่าสินค้าเข้า 245,425 ล้านบาท ไทยได้เปรียบดุลการค้าเป็นเงิน 135,365 ล้านบาท
4.กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกหรือเอเปก ( Asia Pacific Economic Cooperation : APEC )
วัตถุประสงค์
- พัฒนาและส่งเสริมระบบการค้าหลายฝ่าย
- สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก
- เพื่อลดอุปสรรค และอำนวยความสะดวกทางด้านการค้า การค้าบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก โดยให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ขององค์กรการค้าโลก
- ส่งเสริมความร่วมมือทางด้านการเงินการคลังในการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ
หลักการของความร่วมมือภายใต้กรอบเอเปค
เอเปคเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจที่ประเทศสมาชิกสนใจการดำเนินงานยึดหลักฉันทามติ ความเท่าเทียมกัน และผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก
5.องค์การการค้าโลก ( World Trade Organization : WTO )
องค์การการค้าโลก (World Trade Organization, WTO) เป็นองค์การนานาชาติสังกัดองค์การสหประชาชาติ (UN) ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงทางด้านการค้าระหว่างชาติ เป็นเวทีสำหรับการเจรจาต่อรอง ตกลงและขจัดข้อขัดแย้งในเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางการค้าและการบริการระหว่าง ประเทศสมาชิก
องค์การการค้าโลก จะทำหน้าที่ดูแลข้อตกลงย่อย 3 ข้อตกลง คือ ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าและภาษีศุลกากร (General Agreement on Tariff and Trade; GATT) ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้, ความตกลงทั่วไปว่าด้วยการค้าบริการ (General Agreement on Trade in Services; GATS) และ ความตกลงว่าด้วยการค้าที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญา (The agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights; TRIPS)
ประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ได้ร่วมมือกันสร้างเส้นทางคมนาคมเพื่อประโดยชน์ทางด้านเศรษฐกิจการค้าของประเทศทั้งสอง
โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี เจ้าพระยา แม่โขง
วัตถุประสงค์
เพื่อร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว โดยนำทรัพยากรธรรมชาติของแต่ละประเทศเป็นฐาน
ประโยชน์
1.ทำให้ประเทศสมาชิกมีความเป็นอิสระ มีความยืดหยุ่นในการวางแผนดำเนินโครงการ ที่มีการใช้น้ำจากแม่น้ำโขงได้มากขึ้น
2.เป็นกลไกช่วยสร้างความมั่นใจ และความไว้วางใจต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาคที่จะร่วมมือ กันพัฒนาแม่น้ำโขงให้เกิดประโยชน์
3.ทำให้ประเทศสมาชิกมีโอกาสดำเนินโครงการร่วมกันบนแม่น้ำสายประธานได้มากขึ้น
4.ทำให้ประเทศผู้ช่วยเหลือสามารถให้ความช่วยเหลือในโครงการต่างๆได้มากขึ้น
5.ทำให้มีโอกาสขยายความร่วมมือในภูมิภาคไปยังริมฝั่งตอนบน คือ จีน และ พม่า
6.ความตกลงนี้จะไม่มีผลบังคับกับโครงการใช้น้ำที่มีมาก่อนวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
7.เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากกรอบความร่วมมือนี้ได้หากเห็นว่าการดำเนินงานนี้ไม่อาจเสี่ยงได้
8.ช่วยให้ประเทศสมาชิกดำเนินการเกี่ยวกับ การใช้น้ำจากแม่น้ำโขงได้ในลักษณะ มีความยืดหยุ่นกว่าหลักเกณฑ์กฎหมาย ระหว่างประเทศ ว่าด้วยการใช้น้ำจากแม่น้ำระหว่างประเทศ
2.เป็นกลไกช่วยสร้างความมั่นใจ และความไว้วางใจต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาคที่จะร่วมมือ กันพัฒนาแม่น้ำโขงให้เกิดประโยชน์
3.ทำให้ประเทศสมาชิกมีโอกาสดำเนินโครงการร่วมกันบนแม่น้ำสายประธานได้มากขึ้น
4.ทำให้ประเทศผู้ช่วยเหลือสามารถให้ความช่วยเหลือในโครงการต่างๆได้มากขึ้น
5.ทำให้มีโอกาสขยายความร่วมมือในภูมิภาคไปยังริมฝั่งตอนบน คือ จีน และ พม่า
6.ความตกลงนี้จะไม่มีผลบังคับกับโครงการใช้น้ำที่มีมาก่อนวันที่ความตกลงมีผลบังคับใช้
7.เปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกสามารถถอนตัวออกจากกรอบความร่วมมือนี้ได้หากเห็นว่าการดำเนินงานนี้ไม่อาจเสี่ยงได้
8.ช่วยให้ประเทศสมาชิกดำเนินการเกี่ยวกับ การใช้น้ำจากแม่น้ำโขงได้ในลักษณะ มีความยืดหยุ่นกว่าหลักเกณฑ์กฎหมาย ระหว่างประเทศ ว่าด้วยการใช้น้ำจากแม่น้ำระหว่างประเทศ